ค้นหาบล็อกนี้

Page Nav

HIDE

Grid

GRID_STYLE

Hover Effects

TRUE

Gradient Skin

{fbt_classic_header}

Update News:

latest

แถลงการณ์จากคณะศิษยานุศิษย์ วัดพระธรรมกาย กรณีเช็ค 400 ล้าน

1. มีบุคคลที่รับเช็คสหกรณ์ไป 32 ราย รวมยอดเงิน 13,000 ล้านบาท
2. มีเพียงคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายเท่านั้น ที่ได้ช่วยเหลือเยียวยา แก่ทางสหกรณ์จนครบจำนวน
3. บุคคลอื่นๆอีก 30 ราย ไม่มีใครเยียวยาแก่สหกรณ์เลยแม้แต่บาทเดียว
4. ดีเอสไอ ติดตามคดีแต่วัดพระธรรมกายที่เดียวเท่านั้น จนราวกับว่าบุคคลอีก 30 รายนั้น ไม่มีตัวตนอยู่ในโลก
5. เงินที่ศิษย์วัดเยียวยาไปแล้วนั้น เกิดจากการพูดคุยกันระหว่างศิษย์วัดกับสหกรณ์ ไม่ได้เกิดจากการติดตามคดีของดีเอสไอ
6. แต่สิ่งที่หลวงพ่อวัดพระธรรมกายได้รับคือ หมายเรียก หมายจับ หมายค้น และกองกำลังดีเอสไอบุกค้นวัดพระธรรมกาย
หลวงพ่อวัดพระธรรมกายทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ ในเมื่อไม่ใช่คนนำเงินออกมาจากสหกรณ์ เป็นเพียงผู้รับบริจาคเท่านั้น แต่ดีเอสไอก็จะเอาผิดให้ได้ จะจับสึก จะจับติดคุกให้ได้ ถึงขั้นยอมทิ้งเงินสหกรณ์ 12,000 ล้าน ยกกองกำลังมาบุกวัดเพื่อมาตามเงินไม่ถึง 10 % ที่สหกรณ์ได้รับการเยียวยาจบไปแล้ว

ตลกจริงๆ ดีเอสไอทำคดีมา 3 ปี เพิ่งจะพบว่า มียอดเงินบริจาคเพิ่มมาอีก 400 ล้าน ขนาดเจ้าของยังไม่รู้เลย มันงอกขึ้นมาได้ยังไง ... แต่เอ๊ะ ดีเอสไอส่งสำนวนสอบสวนให้อัยการไปแล้วนี่ ตามหลักต้องถือว่าหมดอำนาจในการสอบสวนแล้วไม่ใช่หรือ ?


แถลงการณ์จากคณะศิษยานุศิษย์ วัดพระธรรมกาย กรณีเช็ค 400 ล้าน
ตามที่มีข่าวว่าดีเอสไอพบเช็คจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โอนมาวัดพระธรรมกายเพิ่มอีก 400 ล้านบาทนั้น
คณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายขอเรียนชี้แจงดังนี้
1. ที่ผ่านมาจากการตรวจสอบข้อมูลร่วมกันระหว่างสหกรณ์คลองจั่น ดีเอสไอและทาง วัดพระธรรมกาย พบว่านายศุภชัย ศรีศุภอักษรได้สั่งจ่ายเช็คสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น มาบริจาคให้กับพระเทพญาณมหามุนี จำนวน 10 ฉบับ รวมยอดเงิน 387,160,000 บาท และบริจาคให้กับ วัดพระธรรมกาย จำนวน 11 ฉบับ รวมยอดเงิน 668,400,000 บาท ยอดรวมเงินทั้ง 2 ส่วนเท่ากับ 1,055,560,000 บาท
2. ทางคณะศิษย์ได้ช่วยกันตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือเยียวยาแก่สหกรณ์คลองจั่น เต็มจำนวน 1,055,560,000 บาท ทางสหกรณ์จึงได้มีหนังสือขอบคุณมายังคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายและ ทำหนังสือแจ้งไปยังดีเอสไอให้ทราบว่า สหกรณ์ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงไม่ติดใจดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญาต่อวัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนีอีกต่อไป
3. ยอดเงิน 400 ล้านบาทที่เป็นข่าวนั้น หากมีหลักฐานพิสูจน์ได้ชัดเจนว่าเป็นการนำเงินจากสหกรณ์โดยผิดกฎหมายมาบริจาคจริง ทางคณะศิษยานุศิษย์ก็จะประชุมหารือกันเพื่อหาทางช่วยเหลือเยียวยาต่อไป
4. สหกรณ์คลองจั่นได้ฟ้องคดีแพ่งกับผู้ที่รับเช็คจากสหกรณ์คลองจั่นไปทั้งหมด 32 ราย รวมยอดเงิน 13,000 ล้านบาท ซึ่งมีเพียงคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายเท่านั้น ที่ได้ช่วยเหลือเยียวยา แก่ทางสหกรณ์จนครบจำนวน บุคคลอื่นๆอีก 30 รายไม่มีใครเยียวยาแก่สหกรณ์เลยแม้แต่บาทเดียว
5. ทำไมดีเอสไอจึงระดมสรรพกำลังนับพันนายจะดำเนินคดีแต่กับพระเทพญาณมหามุนี ซึ่งทำความดีมาทั้งชีวิต ทั้งสร้างพระ สร้างวัด เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก อีกทั้งคณะศิษย์ ได้ช่วยเหลือเยียวยาไปหมดแล้ว การกระทำของดีเอสไอจึงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับทางสมาชิกสหกรณ์แม้แต่บาทเดียว
ทำไมดีเอสไอไม่ไปทุ่มเทกำลังตามหาเงินที่เหลืออีก 13,000 ล้านบาทจากผู้รับเงินรายที่เหลือ ซึ่งยอดเงินมากกว่านับสิบเท่า
6. พระสุวิทย์ วัดอ้อน้อย และนายไพบูลย์ นิติตะวัน ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีในการกดดันให้ดำเนินคดีกับพระเทพญาณมหามุนีนั้น เป็นผู้ต้องหาในคดีกบฏ จากการ shut down กรุงเทพฯ ดีเอสไอได้ส่งฟ้องแล้ว อัยการก็ได้พิจารณาสั่งฟ้องแล้ว ขั้นตอนล่วงเลยจนจะเป็นจำเลยขึ้นศาลแล้ว แต่ทั้ง 2 คนได้ ร้องขอความเป็นธรรมกับอัยการสูงสุด สั่งให้สอบเพิ่มเติม
คดีนี้เวลาล่วงเลยมากว่า 2 ปีแล้ว ทำไมข่าวจึงเงียบสนิท ทั้งที่เป็นผู้ต้องหาในคดีร้ายแรงถึงขนาดเป็นกบฏต่อแผ่นดิน ยึดสถานที่ราชการนานหลายเดือน ปิดเมืองหลวงของประเทศ สร้างความเสียหายแก่การบริหารราชการแผ่นดิน และความสามัคคีของคนในชาติอย่างใหญ่หลวง
ดีเอสไอได้ออกหมายเรียก หมายจับ หมายค้นนำตัวทั้งคู่มาสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อส่งให้อัยการ สั่งคดีขึ้นสู่ศาลโดยเร็วหรือไม่
7. การกระทำของดีเอสไอนี้เป็น 2 มาตรฐานหรือไม่ มีธงหรือเปล่า มีใบสั่งหรือเปล่า ดีเอสไอ จะสร้างความเชื่อมั่นแก่สังคมและคณะศิษยานุศิษย์ ว่าดำเนินการทุกอย่างด้วยความเที่ยงธรรมตามกฎหมาย ไม่มีเอียง ไม่ 2 มาตรฐาน ได้อย่างไร ซึ่งคณะศิษย์กำลังพิจารณากล่าวโทษผู้เกี่ยวข้อง ต่อหน่วยงานของรัฐต่อไป
8. หากการดำเนินการของดีเอสไอถูกมองว่า 2 มาตรฐาน เลือกปฏิบัติ มีวาระแฝงเร้น ก็ยากที่จะให้สังคมเชื่อมั่น ยอมรับคำเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพกฎหมายก็อาจกลายเป็นเรื่องตลก เพราะอาจ ถูกมองได้ว่าเป็นการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือเพื่อพิฆาตทำลายศัตรูทางการเมืองของผู้มีอำนาจเท่านั้น
ความจำเป็นรีบด่วนที่สุดของกระบวนการยุติธรรมในวันนี้ ก็คือ ต้องปรับปรุงการดำเนิน งานใหม่ ให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าไม่ลำเอียง ไม่ 2 มาตรฐาน ไม่ตกเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจใช้ในการทำลายล้างทางการเมือง เมื่อนั้นกระบวนการยุติธรรมก็จะได้รับความเคารพและปฏิบัติตามจากประชาชนทั้งแผ่นดิน
นายองอาจ ธรรมนิทา
โฆษกคณะศิษยานุศิษย์ วัดพระธรรมกาย
22 มิถุนายน 2559

cr : ptt cnkr , เพจนักกฎหมายตัวน้อย , เพจตื่นเถิดชาวพุทธ

ไม่มีความคิดเห็น